วันเสาร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2557

การนั่งสมาธิที่ช่วยให้จิตสงบทำยังไง ???







ขอขอบคุณสาระดีๆจาก www.kapook  นะครับ

โรคกลัวการเข้าสังคม คืออะไร ?

        
  โรคกลัวการเข้าสังคม คือ อาการวิตกกังวลว่าตัวเองจะเผลอทำอะไรเปิ่น ๆ เชย ๆ หรือทำพลาดให้ต้องอับอาย กลัวถูกวิพากย์วิจารณ์จากคนรอบข้าง ซึ่งดูเหมือนอาการของคนตื่นเต้นกับบางอย่างแบบปกติทั่วไป แต่สำหรับผู้ป่วยโรคกลัวการเข้าสังคม (Social Phobia) จะประหม่ามาก และไม่สามารถบังคับตัวเองให้ไม่ขลาดกลัวการเข้าสังคมได้เลย



 
สาเหตุของโรคกลัวการเข้าสังคม
          นักจิตวิทยากล่าวว่า สาเหตุของโรคกลัวการเข้าสังคมมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลี้ยงดูของครอบครัว แต่ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้แน่ชัดถึงสาเหตุที่แท้จริง เพราะบางกรณีโรคนี้ก็เกิดกับคนในครอบครัวเพียงแค่คนเดียว คนอื่น ๆ ไม่มีอาการของโรคเลย ทั้งนี้อาจจะอธิบายในทางชีววิทยาได้ว่า นอกจากการเลี้ยงดูของครอบครัวแล้ว บางทีสาเหตุของโรคยังอาจเกี่ยวข้องกับระบบการทำงานของสมอง พันธุกรรม การประมวลผลในการกระทำของตัวเองและการตอบสนองของบุคคลอื่น รวมไปถึงพฤติกรรมฝังใจตั้งแต่เด็ก ๆ ด้วย


 
โรคกลัวการเข้าสังคมเกิดขึ้นกับใครได้บ้าง ?
         
จากสถิติพบว่า โรคกลัวการเข้าสังคมเกิดขึ้นกับคนได้ทุกช่วงอายุ ไม่ว่าจะเพศหญิง หรือเพศชายก็มีโอกาสเป็นโรคนี้เท่า ๆ กัน แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า อาการของโรคจะเห็นเด่นชัดในช่วงวัยเด็ก จนไปถึงช่วงวัยรุ่น ซึ่งอาจจะเป็นเพราะช่วงวัยนี้เป็นช่วงที่เริ่มต้องเข้าสังคมมากขึ้นนั่นเอง ทั้งนี้ยังมีแนวโน้มอีกด้วยว่า ผู้ป่วยโรคกลัวการเข้าสังคมส่วนมากจะขาดความมั่นใจในตัวเองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และคิดว่าตัวเองมีปมด้อยที่น่าอับอาย ซึ่งเป็นความคิดที่ลดคุณค่าของตัวเองลงโดยไม่รู้ตัว จนเกิดความขลาดกลัวการเข้าสังคมในที่สุด

 
อาการหวาดกลัวสังคมที่เกิดขึ้นกับเด็ก
         
เด็กขี้อายเป็นเรื่องปกติของช่วงวัยของเขา แต่สำหรับเด็กที่เข้าข่ายเป็นโรคกลัวการเข้าสังคมจะแตกต่างออกไป เด็กเหล่านี้จะไม่กล้าแม้แต่เล่นกับเด็กคนอื่น อายถึงขั้นหวาดกลัวการพูดกับผู้ใหญ่ ไม่สบตาใครขณะพูด และมักจะไม่ยอมไปโรงเรียน



 อาการหวาดกลัวสังคมที่เกิดขึ้นกับผู้ใหญ่
         
โดยปกติแล้วผู้ใหญ่ที่เป็นโรคกลัวการเข้าสังคม มักจะมีอาการสืบเนื่องมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก หรือเป็นวัยรุ่น โดยที่ไม่ได้รับการรักษาเยียวยาให้หายหวาดกลัวการเข้าสังคม







8 นิสัยการกิน ที่ทำให้ โรคอ้วนถามหา!!!


1. กินข้าวเร็ว        
จนแทบไม่เสียเวลาเคี้ยวหรือเคี้ยวไม่ละเอียด ทำให้ไม่รู้สึกอิ่ม เสี่ยงที่จะทานมากกว่าปริมาณที่ต้องการ เพราะกระเพาะยังไม่ทันรับรู้ถึงความอิ่ม จึงคิดว่ายังรับอาหารได้อีก ดังนั้นการทานแบบค่อยๆกินจะทำให้อิ่มเร็วขึ้น และได้ปริมาณอาหารที่เหมาะสมกับความหิว แถมยังรับรู้รสชาติอาหารได้ดีกว่าด้วย



2. เสียดายของ     
พ่อแม่มักบอกเราแต่เด็กว่า  จะต้องกินข้าวให้หมดจาน อย่าเหลือทิ้งไว้ สงสารชาวนา กว่าจะได้ข้าวเม็ดหนึ่งมาให้เรากิน แม้จะอิ่มแล้วหลายคนก็ต้องกัดฟันกินให้หมด คำสอนนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่สิ่งที่ควรทำควบคู่กันไป คือการคะเนปริมาณอาหารให้เหมาะสม ต้องรู้จักประเมินความอยากของตัวเอง




3. กินแก้เครียด  
        การระบายความเครียดด้วยการกินนั้นอาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นเป็นโรคจิต เสพติดการแก้เครียดด้วยการกิน ดังนั้นเมื่อเกิดความเครียดให้ลองหากิจกรรมอื่นๆ ทำ เช่น ออกไปเดินในสวน ออกกำลังกาย พูดคุยกับคนรอบข้าง หรือถ้าหากอยากทานมากจริงๆ ให้เลือกทานผัก ผลไม้ แทนอาหารที่มีพลังงานสูง



4. ให้รางวัลด้วยการกิน  
  เวลาดีใจหรือทำอะไรประสบความสำเร็จต้องมีการนัดฉลองกัน เช่น กินฉลองสอบได้ กินฉลองได้ลูกค้าใหม่ กินฉลองวันเกิด หรือแม้แต่กินฉลองความโสด ฯลฯ ลองเปลี่ยนวิธีการให้รางวัลเป็นของขวัญ ไปเที่ยว หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ต้องมาโยงกับการกิน เพราะการฉลองแต่ละครั้งจะเต็มไปด้วยอาหารและเครื่องดื่มมากมาย และทุกคนมักจะคิดว่านานๆ ที ไม่เป็นไร ทั้งที่เดือนทั้งเดือนอาจมีงานฉลองแบบเดียวกันที่คุณปฏิเสธไม่ได้อีกหลายงาน



5. กินอาหารคาวเสร็จต้องตามด้วยของหวาน 
นิสัยที่กำลังกระจายในคนส่วนใหญ่เพื่อให้ครบสูตร นานๆ ไปทีไม่มีปัญหา หรือถ้าดูแลสุขภาพร่างกายดีก็ไม่ว่ากัน เเต่ถ้ากินของหวานอย่างต่อเนื่องหรือติดเป็นนิสัยไปแล้วล่ะก็ อยากให้ลองเปลี่ยนของหวานเป็นผลไม้ เช่น แอปเปิ้ล ฝรั่ง แตงโม หรือผลไม้ที่หวานน้อยๆ จะดีกว่า


6. ต้องกินให้คุ้ม ในกระแสบุฟเฟ่ต์สุดคุ้ม 
ที่เข้าไปอยู่ในสายเลือดของคนไทยจนติดนิสัย ต้องไปทานกันบ่อยๆ ซึ่งการทานบุฟเฟ่ต์แต่ละครั้งอาจได้รับพลังงานหลายพันแคลอรี โดยเฉพาะถ้าตั้งใจไปทานแบบเอาให้คุ้มกับเงินที่จ่ายไป บางคนอิ่มพุงกางและท้องอืดไปหลายชั่วโมง จงจำไว้ว่าสิ่งที่เหลือคือไขมัน และการทานอาหารมากเกินไป จะทำให้กระเพาะอาหารและระบบย่อยทำงานหนักเกินไป ทางที่ดีกินบุฟเฟ่ต์ครั้งต่อไปขอให้ทานเเค่พออิ่ม และเลือกอาหารที่จะทาน อย่าไปเสียดายเงิน เพราะถ้าเกิดป่วยขึ้นมา เงินที่เอามารักษาอาจมากกว่าราคาบุฟเฟ่ต์ไม่รู้กี่เท่า



7. ยอมแพ้อะไรง่ายๆ 
ข้อนี้สำหรับคนที่เผลอกินจนอ้วนแล้ว แต่พอไปเข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก เจอว่ามันลดช้าก็ท้อใจ หันกลับไปอยู่กับนิสัยการกินแบบเดิมอีก บางคนถึงขั้นยอมรับว่า ความอ้วนยังไงก็ต้องอยู่ติดตัวไปทั้งชีวิต อยากจะบอกว่า ยอมแพ้วันนี้ก็ต้องแพ้ไปตลอดชีวิต แต่ถ้าตั้งใจสู้เราก็มีหวังเอาชนะได้



8. ออกกำลังกายแล้วกินเยอะขึ้น 
นิสัยแบบนี้ทำให้การลดน้ำหนักพังไปหลายรายแล้ว การออกกำลังกายหนักแล้วชะล่าใจกลับมาทานหนัก เพราะคิดว่าไม่เป็นไรเอาออกได้ เป็นความคิดที่ผิดมาก ถ้าหากต้องการลดน้ำหนัก คุณต้องดูแลเรื่องอาหารการกินให้เหมาะสม เพื่อให้ได้พลังงานที่เหมาะสม และทำให้การลดน้ำหนักประสบความสำเร็จเร็วขึ้น ถ้าออกกำลังกายแล้วทานเยอะ พลังงานที่ได้รับอาจมากเกินไป หรือเท่ากับปริมาณการออกกำลังกาย ทำให้ดูเหมือนไม่มีความก้าวหน้า ทำให้ท้อใจและเลิกไปในที่สุด






                ใน 8 ข้อนี้คุณมีนิสัยใดบ้างหากมีก็ควรแก้ไข ค่อยๆฝึกไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็ติดเป็นนิสัยไปเอง

อาหารที่ทำให้แก่เร็ว

หากคุณอยากมีใบหน้าที่เด็กแล้วละก็!!!   ควรหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้นะครับ

น้ำตาล


ปัญหาของน้ำตาลคือมัันมีอยู่ทุกที่ ซอสมะเขือเทศ น้ำอัดลม ชาเขียวสำเร็จรูป ซีเรียล ขนม และน้ำสลัด ทำให้การรับประทานน้ำตาลเกินความต้องการของร่างกายเป็นไปได้ง่ายมาก น้ำตาลทำให้แก่เร็วเพราะน้ำตาลในกระแสเลือดที่เมื่อรวมตัวกับโปรตีนในคอลลาเจนของผิวหนังแล้วจะทำให้ผิวหนังอ่อนแอ น้ำตาลทำให้อ้วน ปวดข้อ และปวดหัวอีกด้วย

น้ำตาลเทียม

สารทำความหวานแทนน้ำตาลทำให้เกิดปัญหาสุขภาพหลายอย่าง เช่นแอสปาร์เทม (aspartame) ที่ถูกร้องเรียนมากที่สุด แต่ก็ยังมีการใช้กันอยู่โดยเฉพาะในน้ำอัดลม น้ำตาลเทียมทำให้ปวดหัว ปวดข้อ และหิวมากกว่าปกติ สังเกตได้ว่าคนที่ดื่มน้ำอัดลมชูก้าร์ฟรีส่วนใหญ่จะมีปัญหาน้ำหนักตัว

เกลือ

เกลือในปริมาณที่พอเหมาะเป็นสารอาหารที่สำคัญและดีต่อสุขภาพ แต่คนส่วนใหญ่รับประทานเกลือมากเกินความจำเป็น เกลือทำให้ร่างกายบวมน้ำ ข้อใหญ่ ทำให้เป็นโรคไตและความดันสูง


กาแฟ

กาแฟทำให้ร่างกายขาดน้ำ และผลที่ตามมาคืออาการผิวแห้งที่มีริ้วรอย ทางที่ดีไม่ควรดื่มกาแฟเกินวันละแก้ว และควรดื่มน้ำเพิ่ม 8 ออนซ์เป็นการชดเชย

แอลกอฮอล์

แอลกอฮอล์ทำให้ผิวแห้งและมีริ้วรอยง่าย

ขอบคุณข้อมูลจาก
โรงพยาบาลเอกปทุม
http://www.akepathumhospital.com/



ออกกำลังกายไปเพื่ออะไร ???


หากกล่าวถึงแนวทางการรักษาสุขภาพที่ได้ผล ก็คงหนีไม่พ้นการออกกำลังกาย เพราะได้มีการวิจัยกันมานานแล้วว่าการออกกำลังกายจะช่วยรักษาสุขภาพทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ เรามาดูกันว่าการออกกำลังกายให้อะไรเราบ้าง ???
1.             การออกกำลังอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค สามารถป้องกัน ยับยั้ง และรักษาฟื้นฟูร่างกายและจิตใจจากโรคร้ายแรงต่าง ๆ  เช่น โรคหลอดเลือดและหัวใจ มะเร็ง อัมพฤกษ์ อัมพาต เบาหวาน ความดัน กระดูกพรุน ไขมันในเลือดสูง โรคอัลไซเมอร์  โรคอ้วน โรคซึมเศร้า และโรคอื่นๆอีกมากมาย


2.           ช่วยเพิ่มจำนวนเซลล์ ซึ่งมีหน้าที่ทดแทนและซ่อมแซมเซลล์ในอวัยวะต่าง ๆ ส่งผลให้คนที่ออกกำลังกายดูอ่อนเยาว์ และมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ ( ทำให้หน้าเด็ก 555+)

3.         ช่วยกระตุ้นเซลล์ประสาท เสริมสร้างสมาธิและสติปัญญา ทำให้มีกระบวนการคิดที่ฉับไว

4.         ช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตและระบบน้ำเหลือง จึงช่วยนำสารอาหารที่ได้จากการบริโภคไปหล่อเลี้ยงเซลล์ในอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกายอย่างทั่วถึง พร้อมกับขจัดของเสียและสารพิษออกมาในรูปเหงื่อ

5.          ขณะออกกำลังกาย ร่างกายจะมีการหลั่งสารแห่งความสุข 3 ชนิด ได้แก่ โดพามีน  เอนดอร์ฟิน และเซโรโทนิน สารเหล่านี้จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายจิตใจเบิกบานหลังออกกำลังกาย

6.          ขณะออกกำลังกายร่างกายจะกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนแห่งการเจริญเติบโตหรือ “โกรทฮอร์โมน” ซึ่งร่างกายจะผลิตลดลงเมื่ออายุมากขึ้น การมีโกรทฮอร์โมนจะช่วยชะลอความชรา ดูอ่อนเยาว์ ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่งเป็นประกายงามนางฟ้า (อันนี้เยอะไปมั๊ง)

7.          ช่วยสร้างความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ,กระดูก และเพิ่มความหนาแน่นให้กระดูก จึงทำให้เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว กระฉับกระเฉง

8.           ช่วยในการนอนหลับ ทำให้หลับสนิทติดต่อกันตลอดคืน 

9.          ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่าย ป้องกันปัญหาท้องผูก


แท้จริงแล้วการออกกำลังกายให้ประโยชน์กับเราได้มากมายนัก ที่กล่าวมานี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น  หากได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเราก็จะมีสุขภาพที่ดีไม่มีโรคภัยมาเบียดเบียน  รู้อย่างนี้แล้วเตรียมตัวไปออกกำลังกายกันเลยดีกว่า



“ วิธีง่ายๆป้องกันโรคกระดูกพรุนที่คุณก็ทำได้ ”


ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน


1. ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน วัยนี้ร่างกายมีการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ช่วยให้แคลเซียมมาจับที่เนื้อกระดูกลดลง

2.
การรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้องได้แก่

> การดื่มน้ำอัดลม กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน มากเกินไป
>
การรับประทานอาหารที่มีโปรตีนมากเกินไป
>
การรับประทานอาหารรสเค็มจัด
3. คนผอม มีโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุนมากกว่าคนอ้วน

4.
การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

5.
ผู้ที่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคไต โรคโลหิตจาง โรคความดันโลหิตสูง 

6.
ผู้ที่ไม่ได้ออกกำลังกาย โดยเฉพาะการออกกำลังกายที่มีการลงน้ำหนักไปที่กระดูก เช่น การวิ่ง เล่นฟุตบอล เล่นบาสเก็ตบอล  เป็นต้น

7.
กรรมพันธุ์  ผู้ที่คนในครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุนก็จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น     

การป้องกันโรคกระดูกพรุน 
กระดูกพรุนคือการที่กระดูกมีความหนาแน่นของมวลกระดูกลดลง  ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือต้องสร้างมวลกระดูกให้แข็งแรงตั้งแต่อายุน้อยกว่า 30 ปี ดังนี้
1.
การรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง โดยเฉพาะในเด็ก หญิงตั้งครรภ์ หญิงที่ให้นมบุตร ชายหญิงในวัยทอง อาหารที่มีแคลเซียมสูง ได้แก่ นม ไข่ ผักใบเขียว ผลไม้ ปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ถั่ว  เต้าหู้

2.
ทานวิตามินดีให้เพียงพอ เนื่องจากวิตามินดีจะเป็นตัวช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม ซึ่งร่างกายเราสามารถสังเคราะห์วิตามิน D ได้จากแสงอาทิตย์

3.
หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสหวานและเค็มจัด เนื่องจากเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง

4.
หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

5.
หลีกเลี่ยงการทำให้ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว เพราะจะทำให้กระดูกพรุนได้ง่ายกว่าปกติ

6.
ออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 15 – 20 นาทีเป็นประจำทุกวัน ซึ่งจะช่วยให้กระดูกแข็งแรงและเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก เช่น การเดิน การวิ่ง กระโดดเชือก ยกน้ำหนัก เป็นต้น

รู้วิธีง่ายๆกันไปแล้วอย่าลืมนำไปปฏิบัติกันนะครับ J